น้ำกัดเท้า เป็นโรคผิวหนังที่มักพบได้บ่อยในช่วงฤดูฝนหรือหลังน้ำท่วม เกิดจากการที่เท้าสัมผัสกับน้ำสกปรกเป็นเวลานาน ทำให้ผิวหนังบวมเปื่อย และเกิดรอยแผล ซึ่งเป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ยิ่งช่วงนี้ใกล้หน้าฝน ยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ แต่หากเป็นไปแล้ว หลายคนก็คงกังวลว่าน้ำกัดเท้ารักษาหายไหม ต้องดูแลเบื้องต้นอย่างไร บทความนี้มีคำตอบ !
อาการของน้ำกัดเท้า
โรคน้ำกัดเท้า รักษาอย่างไร
โรคน้ำกัดเท้ารักษาหายได้ ไม่มีอะไรต้องกังวลมาก เพียงแค่ทำตามวิธีการดังต่อไปนี้
1. ดูแลเท้าเบื้องต้น
-
ล้างเท้าด้วยน้ำสะอาดและสบู่อ่อน ๆ เช็ดให้แห้ง
-
พักเท้าให้สูง
-
ทายาฆ่าเชื้อ เช่น โพวิโดนไอโอดีน
-
ทาครีมหรือแป้งทาผิวที่มีส่วนผสมของตัวยาต้านเชื้อรา
-
เปลี่ยนถุงเท้าและรองเท้าที่แห้งอยู่เสมอ
2. ใช้ยาตามคำสั่งแพทย์หรือเภสัชกร
อย่างไรก็ดี กรณีเป็นโรคน้ำกัดเท้าขั้นรุนแรง เช่น แผลลึก บวม แดง ติดเชื้อเรื้อรัง หรือมีไข้ หนาวสั่น แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาน้ำกัดเท้าเพิ่มเติม ไม่ควรซื้อยาเองนอกเหนือการควบคุมของแพทย์
การป้องกันโรคน้ำกัดเท้า
-
สวมรองเท้าบูตยางหรือรองเท้ากันน้ำ
-
ล้างเท้าให้สะอาดทุกครั้งหลังลุยน้ำ
-
เช็ดเท้าให้แห้งสนิท
-
สวมถุงเท้าที่ระบายอากาศได้ดี
-
หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่าในน้ำสกปรก
-
รักษาความสะอาดของเท้าและร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
โรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากน้ำกัดเท้า
-
ติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อแบคทีเรียสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านรอยแผลจากน้ำกัดเท้า ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการบวม แดง ร้อน เจ็บ หรือหนองได้
-
ติดเชื้อรา มักเกิดขึ้นในบริเวณที่มีความอับชื้น อาการ เช่น ผิวหนังลอก คัน มีตุ่มแดง
-
เยื่อบุตาอักเสบ เกิดจากการที่เชื้อโรคจากเท้าแพร่กระจายไปยังดวงตา อาการ เช่น ตาแดง คัน ระคายเคือง น้ำตาไหล
-
โรคกลาก เกิดจากเชื้อรา อาการ เช่น ผิวหนังเป็นวงแหวน คัน มีขุย
-
โรคเรื้อนกวาง เกิดจากเชื้อรา อาการ เช่น ผิวหนังเป็นดวงสีขาว ขอบเขตชัดเจน คัน
ข้อควรระวังระหว่างรักษาน้ำกัดเท้า
สำหรับใครที่เป็นแล้ว หรือวิตกว่าจะเป็นก็ไม่ต้องกังวล เพราะน้ำกัดเท้ารักษาหาย และสามารถป้องกันไม่ให้เป็นได้ง่าย ๆ เพียงแค่ดูแลเท้าให้สะอาด ใส่ใจสุขอนามัย และรักษาความสะอาดของร่างกายเป็นประจำ
|